IUIทำได้กี่ครั้ง เหมาะกับใคร เลือกเพศ ทำแฝดได้มั้ยค่าใช้จ่าย ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?

INTRA UTERINE INSEMINATION (IUI) TREATMENT

IUI เกี่ยวข้องกับการใส่อสุจิที่เตรียมไว้ลงในมดลูกของผู้หญิงตามเวลาที่กำหนดอย่างระมัดระวัง ขั้นตอนนี้จะเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิและการตั้งครรภ์ ขั้นตอนนี้สามารถทำได้โดยมีหรือไม่มียารักษาภาวะมีบุตรยากเพื่อกระตุ้นการตกไข่ ทำให้เป็นวิธีที่หลากหลายและเข้าถึงได้อย่างกว้างขวางในการช่วยให้เป็นพ่อแม่

IUI คืออะไร?

การผสมเทียมระหว่างมดลูก (IUI) คือการรักษาภาวะเจริญพันธุ์ที่นำสเปิร์มที่ฝังเข้าไปในมดลูกของคุณ ในผู้หญิงที่มีสุขภาพดี ไข่จะไปถึงท่อนำไข่จากรังไข่ ซึ่งเป็นที่ที่ไข่และอสุจิได้รับการปฏิสนธิ เมื่อสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ผู้หญิงสามารถเลือก IUI ซึ่งเป็นการผสมเทียมประเภทหนึ่งได้ ในขั้นตอนนี้ตัวอสุจิจะถูกล้างและใช้เฉพาะตัวอสุจิที่มีคุณภาพดีเท่านั้น การรักษาด้วย IUI หมายความว่าอสุจิของคู่ครองถูกฉีดเข้ามดลูก ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะเจริญพันธุ์มักเลือก IUI ก่อนที่จะพิจารณาการรักษาภาวะเจริญพันธุ์แบบอื่น  คุณอาจได้รับคำแนะนำให้ใช้ยารักษาภาวะมีบุตรยากเพื่อให้แน่ใจว่าไข่จะถูกปล่อยออกมาระหว่างการตกไข่ การผสมเทียม IUI สามารถทำได้ด้วยอสุจิของคู่ของคุณหรือกับอสุจิของผู้บริจาค

IUI ไม่สามารถคัดเพศ หรือ ทำแฝดได้ เป็นการคัดสรร โดยธรรมชาติโดยตรง

เพราะ IUI เป็นการฉีดเชื้อเข้าไปหาไข่ที่ตกในวันตกไข่ มันเป็นขั้นตอนธรรมชาติ ตั้งแต่ไข่ตก จนถึงกระบวนการฝังตัวอ่อน อสุจิตัวไหนวิ่งเจาะไข่ก่อนได้ก็เพศนั้นค่ะ แต่ติดแล้วก็มีโอกาสจะไม่ใช่เพศที่ต้องการด้วยน่ะสิ เพราะการคัดเชื้อแบบ IUI มันไม่ได้เลือกเพศเป๊ะๆ แบบ 100%นั้นเองค่ะ

โดยการเก็บเชื้อของฝ่ายชายออกมาทำการเตรียมอสุจิ โดยการปั่นคัดแยกอสุจิตัวที่ตายออก ซึ่งการเตรียมเชื้อสำหรับการทำ IUI นี้ไม่ได้มีการส่องคัดเลือกดูโครโมโซมเพศของสุจิแต่อย่างใด ไม่ได้ทำการคัดเลือกสเปิร์มตัวที่ดีที่สุดไปจับเจาะไข่อย่างเช่น ICSI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงกว่า ดังนั้นมันจึงเป็นวิธีตามธรรมชาติ สเปิร์มต้องว่ายเอง และก็ลุ้นเพศกันตามธรรมชาติค่ะ ไม่สามารถเลือกเพศได้อัตราความสำเร็จของ IUI อยู่ที่ประมาณ 15-20%ต่อรอบการรักษาเท่านั้นเอง

การรักษาด้วย IUI เป็นที่นิยมหรือไม่?

คู่รักอาจเลือกการผสมเทียมระหว่างมดลูกโดยคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ เช่น ปัญหาภาวะมีบุตรยาก หรือเป็นทางเลือกสำหรับผู้หญิงที่เลือกเป็นพ่อแม่โดยไม่มีคู่สมรส กับผู้บริจาค หรือคู่รัก LGBT IUI อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเมื่อคู่รักหญิงหรือชายกำลังประสบปัญหาทางการแพทย์ต่อไปนี้:

มูกปากมดลูกหรือปัญหาปากมดลูก

ปากมดลูกของคุณเป็นช่องเปิดสำหรับมดลูก และเมือกที่ผลิตในปากมดลูกช่วยให้สเปิร์มเคลื่อนจากช่องคลอดไปยังท่อนำไข่ได้ เมือกหนาอาจขัดขวางการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ การรักษาด้วย IUI อสุจิจะถูกใส่เข้าไปในมดลูกของคุณ

ปัญหาอสุจิ:

การวิเคราะห์น้ำอสุจิเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาภาวะมีบุตรยาก หากอสุจิของคู่ของคุณอ่อนแอ มีขนาดเล็ก หรือมีรูปร่างผิดปกติ หรือหากคู่ของคุณไม่สามารถผลิตอสุจิได้ในปริมาณที่ต้องการ การผสมเทียมระหว่างมดลูกสามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เนื่องจากต้องใช้อสุจิคุณภาพดีที่สุดเท่านั้นในการรักษา

ความผิดปกติของการแข็งตัวของอวัยวะเพศหรือการหลั่ง:

การรักษาด้วย IUI สามารถใช้ในกรณีที่คู่ครองไม่สามารถแข็งตัวของอวัยวะเพศได้หรือไม่สามารถหลั่งอสุจิได้

ภาวะมีบุตรยากที่ไม่สามารถอธิบายได้:

ภาวะนี้มักเกิดขึ้นเมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะมีบุตรยากไม่สามารถระบุสาเหตุของภาวะมีบุตรยากได้

กระบวนการไอยูไอ

การปรึกษาหารือ:

ในระหว่างการรับคำปรึกษา IUI เกี่ยวกับการเจริญพันธุ์ครั้งแรก ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะเจริญพันธุ์จะหารือเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์และเป้าหมายการสร้างครอบครัวของคุณ จะมีการสั่งการตรวจวินิจฉัยเพื่อตรวจดูท่อนำไข่และมดลูกของคุณ ซึ่งจะช่วยกำหนดวิธีการรักษาภาวะเจริญพันธุ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

ยา:

การรักษาด้วย IUI เกิดขึ้นระหว่างการตกไข่ อาจใช้ยารักษาภาวะเจริญพันธุ์เพื่อกระตุ้นการตกไข่ คลินิกของคุณจะตรวจสอบคุณด้วยอัลตราซาวนด์และการตรวจเลือดเพื่อกำหนดเวลาที่ดีที่สุดในการผสมเทียม

ขั้นตอน:

อสุจิของคู่ของคุณหรือผู้บริจาคจะถูกเตรียมในห้องปฏิบัติการของเราโดยใช้การล้างอสุจิเพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด ขั้นตอน IUI ใช้เวลาไม่กี่นาทีและไม่เจ็บปวด คล้ายกับการตรวจแปปสเมียร์ คุณสามารถกลับมาทำกิจกรรมได้ตามปกติหลังจากนั้น

หลังขั้นตอน:

สองสัปดาห์หลังการผสมเทียมระหว่างมดลูก จะทำการทดสอบการตั้งครรภ์ หากผลเป็นบวก ทีมรักษาภาวะเจริญพันธุ์ของคุณจะติดตามการตั้งครรภ์ของคุณ และในกรณีที่ผลการทดสอบการตั้งครรภ์ของคุณเป็นลบ พวกเขาจะวางแผนรอบใหม่หรือสำรวจวิธีการรักษาอื่น ๆ

ประโยชน์ของการรักษา IUI

IUI คือการรักษาภาวะเจริญพันธุ์ที่ง่ายและคุ้มค่า ซึ่งแนะนำสำหรับสภาวะต่างๆ เช่น ภาวะมีบุตรยากจากปัจจัยปากมดลูก ภาวะมีบุตรยากจากไข่ ภาวะมีบุตรยากจากฝ่ายชาย ภาวะมีบุตรยากทางภูมิคุ้มกันวิทยา และภาวะมีบุตรยากโดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้ IUI ยังช่วยให้อสุจิเข้าถึงไข่ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากช่วยลดเวลาและระยะทางในการไปถึงไข่ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์

การวิจัยชี้ให้เห็นว่าการกระตุ้นรังไข่มากเกินไป อัตราความสำเร็จของ IUI จะเพิ่มขึ้น การรักษาด้วย IUI เป็นที่นิยมสำหรับผู้หญิงอายุต่ำกว่า 35 ปี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีเทคโนโลยีจำกัด ผู้เชี่ยวชาญของคุณอาจแนะนำรอบการผสมเทียมระหว่างมดลูก 4-6 รอบก่อนที่จะพิจารณาการผสมเทียมหรือทางเลือกอื่นๆ

ความเสี่ยง

การรักษาด้วย IUI เป็นขั้นตอนที่ไม่รุกรานและปลอดภัย โดยมีความเสี่ยงน้อยที่สุดที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรง ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้แก่:

การติดเชื้อ:
ขั้นตอนการผสมเทียมระหว่างมดลูกมีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อการติดเชื้อ แต่แพทย์ของคุณใช้เครื่องมือที่ปลอดเชื้อเพื่อลดความเสี่ยงนี้ ทำให้การติดเชื้อเกิดขึ้นได้ยาก

ทารกหลายคน
หากใช้ยารักษาภาวะเจริญพันธุ์เพื่อกระตุ้นการตกไข่ ก็มีโอกาสที่จะมีลูกหลายคนเนื่องจากมีการปล่อยไข่มากกว่าหนึ่งฟอง แพทย์ของคุณจะตรวจสอบและปรับยาอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการปล่อยไข่มากเกินไป

อาการอื่นๆ
ในบางกรณี การใช้ยาเพื่อการเจริญพันธุ์ระหว่าง IUI อาจทำให้เกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (OHSS) ส่งผลให้รังไข่ขยายใหญ่ขึ้น มีของเหลวสะสม และตะคริว ไม่บ่อยนัก OHSS อาจทำให้เกิดอาการรุนแรง เช่น เวียนศีรษะ น้ำหนักเพิ่มกะทันหัน หายใจลำบาก คลื่นไส้ ปวดท้องรุนแรง หรือขนาดช่องท้องเพิ่มขึ้น หากคุณพบอาการเหล่านี้ควรติดต่อแพทย์ทันที

การเตรียมตัวเข้ารับการรักษา IUI

ในรอบ IUI โดยทั่วไป เริ่มต้นตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือนและสิ้นสุดประมาณสองสัปดาห์หลัง IUI ด้วยการทดสอบการตั้งครรภ์ในเลือด ประมาณวันที่สองหรือสามของประจำเดือน การตรวจเลือดจะยืนยันว่าคุณยังไม่ได้ตั้งครรภ์ แพทย์ของคุณอาจทำอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดเพื่อตรวจเยื่อบุมดลูกและรูขุมขนของรังไข่ ก่อนการตกไข่ การตรวจอัลตราซาวนด์เพิ่มเติมจะทำให้เยื่อบุหนาขึ้นและรูขุมขนจะโตขึ้น เมื่อรูขุมขนโตเต็มที่มีขนาดมากกว่า 20 มม. เวลาตกไข่ก็ใกล้เข้ามา แพทย์ของคุณอาจใช้ยาฉีดกระตุ้น hCG เพื่อกระตุ้นการตกไข่ หรือคุณสามารถวัดระดับ LH ที่บ้านได้ เมื่อระดับ LH สูงสุด IUI จะดำเนินการในวันถัดไป

การทำ IUI มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?

ค่าใช้จ่ายของการรักษาด้วย IUI มักจะเริ่มต้นที่ 13,900 -25,000ต่อรอบ

แชร์

บทความอื่นๆ

Embryo Glue

กาวติดตัวอ่อน (Embryo Glue)คืออะไร จำเป็นไหม ช่วยเพิ่มโอกาสติดได้สูงขึ้น จริงหรือเปล่า -Smile IVF

กาวติดตัวอ่อน มันคืออะไร จะเหนียวติดเหมือนกาวตราช้างไหม มันช่วยให้ท้องได้เลยรึเปล่า มาไขข้อสงสัยกันค่ะ

มาทำความรู้จักตัวช่วยดีดีชื่อว่า “Embryo Glue ในการช่วยการฝังตัวอ่อน และเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้มากขึ้นอีกด้วย

Embryo glue คือ น้ำยาชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมของ โปรตีนที่ชื่อว่า Hyaluronan ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกาย และจะพบเป็นจำนวนมากในเยื่อบุโพรงมดลูกในช่วงเวลาที่มีการฝังตัวของตัวอ่อน โดยสารชนิดนี้จะทำหน้าที่จับกับตัวรับ (Receptor) ที่ชื่อ CD44 ที่อยู่ที่ผิวของเยื่อบุโพรงมดลูก ในช่วงเวลาที่จะมีการฝังตัวของตัวอ่อนตามธรรมชาติ เมื่อเรานำ Hyaluronan มาผสมกับตัวอ่อน Hyaluronan จะซึมเข้าไปในเปลือกของตัวอ่อนและยึดติดกับเซลล์ของตัวอ่อนไว้ มันก็เลยเกิดแรงยึดเหนี่ยวขึ้นระหว่างตัวอ่อนกับเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้ตัวอ่อนวางอยู่บนเยื่อบุโพรงมดลูกไม่เคลื่อนที่ไหลไปไหน อีกทั้ง Hyaluronan นั้นเป็นอาหารสำหรับตัวอ่อนด้วย ตัวอ่อนจึงสามารถเจริญเติบโตได้ดีและฝังตัวลงไปบนเยื่อบุโพรงมดลูก เกิดเป็นการตั้งครรภ์ได้

โดยการทำงานของน้ำยา Embryo glue คือจะทำการเคลือบตัวอ่อนเพื่อง่ายต่อการผ่านชั้นสารน้ำที่อยู่บริเวรพื้นผิวเยื่อบุผิว และเมื่อตัวอ่อนเข้าใกล้เยื่อบุผิวโพรงมดลูกสาร Hyaluronan จะทำการยึดติดกับตัวรับระหว่างเซลล์ตัวอ่อนและเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก           ( Receptor CD44 ) หลังจากนั้นตัวอ่อนจะทำการยึดเกาะเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกนั้นเอง

เมื่อใช้กาวติดตัวอ่อนร่วมกับการย้ายตัวอ่อน

ในผู้หญิงที่ทำเด็กหลอดแก้ว ที่อายุ 30 ปีหรือน้อยกว่า อัตราการตั้งครรภ์อยู่ที่ 70-85%

ถ้าอายุ 31-34 ปี ก็ประมาณ 50%

แต่ถ้าอายุ 35 ปีหรือมากกว่า ก็เหลือแค่ประมาณ 30% เท่านั้น

จะเห็นได้ว่าอายุฝ่ายหญิงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดว่าจะท้องหรือไม่ ปัจจุบันมีรายงานการศึกษาหลายๆฉบับที่แสดงให้เห็นผลในทางบวกของ Embryo Glue ที่ช่วยให้อัตราการตั้งครรภ์สูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ก็ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายๆอย่างช่วยด้วยนะคะ

Smile IVF Clinic เราพร้อมให้คำปรึกษาเรื่อง “การมีบุตรยาก” โดยทีมแพทย์ ทีมพยาบาล ทีมนักวิทย์ฯ และผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์โดยตรง รวมไปถึงเครื่องมือและห้องปฏิบัติการทางแล็บที่ทันสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ที่ผลสำเร็จสูงสุด

era-test-embryo-transfer/

ERA® การวิเคราะห์ความไวของเยื่อบุโพรงมดลูก 

ERA test (Endometrial Receptivity Analysis Test) ตัวช่วยเพิ่มโอกาสฝังตัวให้สูงขึ้นจากการย้ายตัวอ่อนวิธีปกติทั่วไป เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์โดยไม่สูญเสียตัวอ่อนที่ดี แม้แต่ตัวอ่อนที่ดีที่สุดก็ยังไม่สามารถปลูกถ่ายได้หากสภาวะผนังมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัว โดยรายงานผลจะเป็นการให้คำแนะนำช่วงเวลาการย้ายตัวอ่อนเฉพาะบุคคล และแพทย์จะใช้ผลการวิเคราะห์เพื่อคำนวณเวลาการย้ายตัวอ่อน (โดยปรับตามการเริ่มใช้กลุ่มยา Progesterone ) ในรอบจริง.

  • ผู้หญิงจำนวนมากที่ทำเด็กหลอดแก้วไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ แม้ว่าจะย้ายตัวอ่อนคุณภาพดีไปแล้วก็ตาม แม้ว่าตัวอ่อนคุณภาพดีจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ แต่การย้ายตัวอ่อนเข้าสู่มดลูกที่พร้อมรับตัวอ่อน ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
  • ระยะเวลาในการย้ายตัวอ่อนต้องสอดคล้องกับรอบประจำเดือนของร่างกาย ไม่เร็วเกินไปหรือช้าเกินไป แต่เป็นเวลาที่เหมาะสม สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ เวลาที่ดีที่สุดในการย้ายตัวอ่อนจะเหมือนกัน แต่สำหรับผู้หญิงบางคน อาจแตกต่างออกไป 

เยื่อบุโพรงมดลูกคืออะไร?

    • ภายในมดลูกเรียงรายไปด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่าเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งจะถูกเตรียมไว้ในแต่ละเดือนสำหรับการมาถึงของตัวอ่อนและเป็นรังที่ตัวอ่อนจะฝังตัวและอาศัยอยู่ระหว่างตั้งครรภ์ แม้แต่ตัวอ่อนที่ดีที่สุดก็ยังไม่สามารถปลูกถ่ายได้หากสภาวะไม่เหมาะสม

 การเปิดกว้างของเยื่อบุโพรงมดลูกคืออะไร?

      • เยื่อบุโพรงมดลูกจะเปิดกว้างเมื่อพร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ช่วงเวลาแห่งการเปิดกว้างนี้เรียกว่า หน้าต่างแห่งการฝังตัว
      • ผู้หญิงแต่ละคนมีหน้าต่างที่เป็นเอกลักษณ์ เมื่อทราบช่วงเวลาของการฝังตัวส่วนบุคคลคุณจะสามารถเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์โดยการย้ายตัวอ่อนแบบเฉพาะบุคคลได้

ทำไมต้องทำ ERA?

  • เมื่อทำการย้ายตัวอ่อนด้วยวิธีเฉพาะบุคคลโอกาสที่จะตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้นหลังการรักษา
  • 72.5%* อัตราการตั้งครรภ์โดยใช้ ERAใน ครั้งแรกในผู้ป่วยทุกราย
  • เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้สูงสุดและไม่สูญเสียตัวอ่อนที่ดี
  • ผู้หญิง7 ใน 10 ราย ตั้งครรภ์ได้ หลังผ่านไป 1 ปี*
  • การศึกษาแบบสุ่มล่าสุด* ของเราพิสูจน์ให้เห็นว่า การย้ายตัวอ่อนร่วมกับ ERAให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
  • การตรวจ ERA นั้นจะต้องใช้เวลาในการตรวจประมาณ 1 รอบเดือน โดยจะเริ่มด้วยการกินยาเพื่อเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกเมื่อประจำเดือนมาเหมือนในขั้นตอนการย้ายตัวอ่อนปกติ และเมื่อเยื่อบุโพรงมดลูกหนาได้ที่ก็จะทำการเริ่มยาโปรเจสเตอโรนเป็นเวลา 5 วัน ก่อนที่จะทำการดูดเก็บเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อส่งตรวจหาการแสดงออกของยีน (gene expression) มากกว่า 200 ยีน ซึ่งเป็นยีนที่แสดงถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการย้ายตัวอ่อน

การทดสอบ ERA คืออะไร?
  • ERA® คือการทดสอบวินิจฉัยครั้งแรก ที่กำหนดเวลาการย้ายตัวอ่อนเฉพาะบุคคลของผู้หญิงแต่ละคน ดังนั้นจึงเป็นการประสานการย้ายตัวอ่อน กับผลการทดสอบหน้าต่างการฝังตัวที่เป็นรายบุคคล
ERA เหมาะกับคุณหรือเปล่า?
  • การตรวจ ERA นั้นไม่จำเป็นต้องตรวจในผู้ที่จะทำการย้ายตัวอ่อนทุกคน แต่ผู้ที่เหมาะสมที่จะตรวจ ERA ก็คือ คนที่เคยย้ายตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีแล้วไม่ตั้งครรภ์ ผู้ที่มีตัวอ่อนน้อยและต้องการความมั่นใจในช่วงเวลาย้ายตัวอ่อน

ค่าใช้จ่าย

  • ERA® Test ค่าใช้จ่ายรวมเบ็ดเสร็จประมาณ 50,000บาทค่ะ รวมยาเตรียมผนังมดลูก ค่าธรรมเนียมแพทย์ ค่าอัลตราซาวด์ และ ค่าส่งชิ้นเนื้อไปตรวจค่ะ รายงานผล ERA TEST จะออกหลังจากทำ ERA TEST 20 วันค่ะ
Apply for a Marriage Certificate -

คำถามเกี่ยวกับกฎหมาย รักษาภาวะมีบุตรยากใน ประเทศไทย

คำถามที่พบบ่อย ไม่จดทะเบียนสมรส ทำเด็กหลอดแก้วได้หรือเปล่าคะ

  • เพื่อเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก จำเป็นต้องมีทะเบียนสมรส เพราะประเทศไทยมีกฎหมายว่าคู่สมรสต้องจดทะเบียนสมรสจึงจะทำ IUI และ IVF ICSI ในประเทศไทยได้ คุณจำเป็นต้องนำทะเบียนสมรสติดตัวมาที่โรงพยาบาลด้วยทุกครั้งที่เริ่มทำการรักษาภาวะมีบุตรยาก มิฉะนั้นแพทย์จะมีความผิดทางกฏหมายแพทย์สภา

คู่รักเพศเดียวกันแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในต่างประเทศ ฉันสามารถใช้วิธีการ IUI และ IVF ในประเทศไทยได้หรือไม่

  • ประเทศไทยไม่อนุญาตให้มีการรักษาเด็กหลอดแก้วกับคู่สมรสเพศเดียวกันที่ต้องการทำ IVF ICSI หรือ IUI ไม่สามารถทำในประเทศไทยได้ โดยกฎหมายบังคับใช้กับพลเมืองสัญชาติไทยและคู่สมรสต่างชาติ ถึงแม้จะแต่งงานอย่างถูกกฎหมายในต่างประเทศก็ตาม

 

ข้อบังคับทางกฎหมายเกี่ยวกับการแช่แข็งตัวอ่อนมีอย่างไรบ้าง

  • ข้อบังคับทางกฎหมายเกี่ยวกับการแช่แข็งตัวอ่อนมีดังต่อไปนี้
  • คู่สมรสที่ต้องการแช่แข็งตัวอ่อนต้องสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
  • ก่อนการแช่แข็งตัวอ่อน ทั้งสามีและภรรยาต้องลงนามใน “หนังสือแสดงความยินยอม”
  • คู่สมรสต้องตรวจร่างกายเพื่อดูว่าเป็นโรคติดต่อหรือไม่
  • ตรวจคัดกรองเพื่อแยกตัวอ่อนที่ “ติดเชื้อ” ออกจากตัวอ่อนที่ “ไม่ติดเชื้อ” (เช่น มีเชื้อ HIV/ไม่มีเชื้อ HIV)
  • สามีหรือภรรยาที่ต้องการใช้ตัวอ่อนของคู่สมรสที่เสียชีวิตไปแล้วต้องมีเอกสารยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากคู่สมรสก่อนเสียชีวิต
    ต้องรายงานต่อกระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย) หากต้องการใช้ตัวอ่อนแช่แข็งหลังการเสียชีวิตของคู่สมรส
  • อาจไม่สามารถใช้ตัวอ่อนแช่แข็งของคู่สมรสที่เสียชีวิตมานานกว่า 5 ปีได้

 

ในประเทศไทย สามารถตรวจคัดกรองความผิดปกติทางกันธุกรรมของตัวอ่อนก่อนการฝังตัวได้หรือไม่

  • ประเทศไทยอนุญาตให้มีการตรวจคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอ่อนก่อนการฝังตัวและสามารถทำในกรณีดังต่อไปนี้
  • ฝ่ายหญิงมีอายุเกิน 35 ปี
  • ฝ่ายหญิงมีประวัติการแท้งมากกว่า 2 ครั้งในขณะอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ หรือผลการตรวจยืนยันว่า การแท้งครั้งก่อนเกิดจากทารกมีพันธุกรรมผิดปกติ
  • มีประวัติตั้งครรภ์ที่ทารกมีความผิดปกติอันเนื่องจากความผิดปกติของโครโมโซม
  • ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้หลังจากทำ IVF มาแล้ว 2 ครั้งติดต่อกัน
  • เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมที่อาจถ่ายทอดสู่ตัวอ่อน
  • เพื่อตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อน
  • เพื่อรักษาบุตรที่ป่วยเป็นโรคด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดในสายสะดือของทารกแรกคลอดที่มีเนื้อเยื่อเข้ากันได้
amh ต่ำ รังไข่เสื่อม

ภาวะรังไข่หยุดทำงานก่อนวัย

ภาวะรังไข่หยุดทำงานก่อนวัย (วัยทองก่อนวัยอันควร) คือภาวะที่รังไข่ทำงานผิดปกติไป ในขณะที่อายุยังน้อย (น้อยกว่า 40ปี)

โดยธรรมชาติแล้ว รังไข่จะค่อยๆ ทำงานด้อยประสิทธิภาพลงตามอายุเพิ่มขึ้น และหยุดทำงานเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เมื่อรังไข่หยุดทำงาน ก็คือไม่มีการตกไข่ด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอาการภาวะรังไข่หยุดทำงานก่อนวัย ไม่ได้ไม่มีการตกไข่เลย เพียงแต่ว่ารังไข่มีการทำงานผิดปกติไปจากเดิม โดยอาจจะการตกไข่เกิดขึ้นเพียงครั้งคราวเท่านั้น

โดยภาวะนี้มีสาเหตุมาจาก

1.ประจำเดือนขาด พบได้ประมาณร้อยละ 2-10

2.เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ก่อนประจำเดือนจะขาด เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด โดยมักจะขาดไปหลังการ

3.ตั้งครรภ์ หรือหลังจากหยุดยาคุมกำเนิด

4.โครโมโซมผิดปกติ พบได้ประมาณร้อยละ 10

5.ภาวะมีบุตรยาก พบน้อย

6.อื่นๆ เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การทำเคมีบำบัด

Platelet-Rich Plasma (PRP) คืออะไร ?
PRP คือ พลาสมาที่อุดมไปด้วยเกล็ดเลือด ซึ่งได้จากการสกัดเลือดจากคนไข้เอง แล้วนำมาปั่นผ่านกระบวนการคัดแยกให้ได้เกล็ดเลือดเข้มข้นกว่าปกติ 4-5 เท่า ทั้งนี้แพทย์จะสามารถควบคุมอุณหภูมิระหว่างปั่นไม่ให้กระทบต่อสารชีวภาพในเกล็ดเลือดได้ ทำให้รักษาสารสำคัญต่างๆ ไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การฉีด PRP จะช่วยรักษาอาการ และฟื้นฟูเนื้อเยื่อได้หลายชนิด เพราะในเกล็ดเลือดมี Growth Factor และ Cytokines อันเป็นสารประกอบที่ช่วยกระตุ้นเซลล์รอบๆ เนื้อเยื่อให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูและแบ่งตัวตามกลไกธรรมชาติได้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การฉีด PRP เหมาะสำหรับใครบ้าง ?

1.ผู้ที่มีปัญหารังไข่เสื่อมก่อนวัย การทำ PRP จะช่วยกระตุ้นระดับฮอร์โมนให้การทำงานของรังไข่ให้ดีขึ้น หลังฉีดแล้วพบว่า คนไข้ส่วนใหญ่มีระดับ AMH (ฮอร์โมนที่บอกถึงจำนวนไข่) เพิ่มขึ้น

2.ผู้ที่มีภาวะรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นต่ำ
ผู้ที่มีปัญหาเยื่อบุโพรงมดลูกบางจนไม่สามารถย้ายตัวอ่อนได้ เมื่อได้รับการฉีด PRP ก่อนการสอดยาโปรเจสเตอโรน พบว่าช่วยให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น และมีเลือดมาหล่อเลี้ยงเยื่อบุโพรงมดลูกเพิ่มขึ้น

3.ผู้ที่ทำการกระตุ้นไข่ แต่ได้ตัวอ่อนไม่แข็งแรง ไม่ถึงระยะ blastocyst หรือตรวจโครโมโซมไม่ผ่าน

กระบวนการในการฉีด PRP

ใช้ระยะเวลาประมาณ 20 นาที เมื่อนำเลือดไปปั่นแยกแล้ว สามารถนำฉีดเข้าโพรงมดลูกหรือฉีดบริเวณเนื้อรังไข่ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น มีการวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ จึงไม่ควรขับรถกลับบ้านเองตามลำพัง เพื่อความปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผลการวิจัยรองรับในเรื่องการเพิ่มจำนวนไข่ รวมถึงอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ หรือโอกาสในการเกิดมะเร็งที่รังไข่จากการฉีด PRP ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

 

illumina-NGS (Next-generation sequencing)

ข้อบ่งชี้ในการตรวจโครโมโซมตัวอ่อน 

การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนด้วยเทคนิค NGS เหมาะกับคู่สมรสที่ทำเด็กหลอดแก้วทั้ง IVF และ ICSI ในกรณีที่

1.คุณแม่อายุมากกว่า 35 ปี
2.คุณแม่มีประวัติแท้งซ้ำมากกว่า 2 ครั้ง ในช่วงที่อายุครรภ์น้อยกว่า 12 สัปดาห์
3.คุณแม่มีประวัติแท้ง และตรวจตัวอ่อนพบว่าตัวอ่อนที่แท้งไปมีพันธุกรรมผิดปกติ
4.คู่สมรสเคยทำเด็กหลอดแก้ว ไม่ว่าจะเป็น IVF หรือ ICSI มากกว่า 2 ครั้ง แล้วตั้งครรภ์ไม่สำเร็จ
5.คู่สมรสทั้งสองฝ่าย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีพันธุกรรมผิดปกติ หรือทราบว่าเป็นพาหะ
6.คู่สมรสเคยมีลูกที่พิการ หรือมีพันธุกรรมผิดปกติ
7.มีคนในครอบครัวเป็นโรคทางพันธุกรรม
8.คุณพ่อมีอสุจิที่ผิดปกติอย่างรุนแรง
9.มีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์จากสเต็มเซลล์ของทารก เพื่อตรวจดูก่อนว่าตัวอ่อนที่จะย้ายไปเพื่อตั้งครรภ์ มีพันธุกรรมที่สามารถนำสเต็มเซลล์ไปใช้กับคนในครอบครัวที่กำลังป่วยอยู่ได้หรือไม่

การตรวจโครโมโซม PGS จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทย่อยตามเทคนิคที่ใช้ตรวจ ได้แก่

2.1 FISH (Fluorescence in situ Hybridization) เป็นเทคนิคเก่า ที่จะตรวจโดยการย้อมสีโครโมโซม และนับจำนวนว่ามีจุดสีครบคู่หรือไม่ แต่วิธีการนี้ สีที่ย้อมจะติดที่โครโมโซมเพียง 9 คู่ ทำให้ผลการตรวจไม่แม่นยำเท่าใดนัก

2.2 CCS (Comprehensive Chromosome Screening) เป็นเทคนิคที่จะตรวจโดยใช้ DNA ของตัวอ่อนจับคู่กับ DNA ควบคุม ทำให้สามารถตรวจนับได้ครบทั้ง 23 คู่ ทำให้ผลการตรวจแม่ยำมากขึ้น

2.3 NGS (Next Generation Sequencing) เป็นเทคนิคใหม่ล่าสุดในการตรวจโครโมโซมตัวอ่อนที่จะตรวจโดยการหาลำดับเบส (นิวคลีโอไทด์) ของตัวอ่อน ทำให้ได้ข้อมูลของโครโมโซมและสารพันธุกรรมอย่างละเอียด ทั้งยังทำได้เร็ว และค่าใช้จ่ายถูกกว่าการทำ CCS จึงเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน

ขั้นตอนการตรวจโครโมโซมด้วยเทคนิค NGS

1. เก็บตัวอย่างเซลล์ออกมาจากตัวอ่อน

การเก็บตัวอย่างเซลล์ จะทำเมื่อเพาะเลี้ยงตัวอ่อนได้ประมาณ 5 วัน จนตัวอ่อนเข้าสู่ระยะ Blastocyst เนื่องจากเป็นระยะที่มีเซลล์จำนวนมากพอ และพร้อมที่จะย้ายเข้าสู่โพรงมดลูกแล้ว การเก็บเซลล์ออกมาเพื่อตรวจโครโมโซมจะเก็บออกมาประมาณ 3 – 5 เซลล์ ขั้นตอนนี้จะต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะที่ทันสมัย และต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะหากผิดพลาดอาจทำให้ตัวอ่อนเสียหาย จนโอกาสตั้งครรภ์ลดลงได้

2. เพิ่มจำนวนสารพันธุกรรม

การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนด้วยเทคนิค NGS จะต้องใช้สารพันธุกรรมเป็นจำนวนมาก แต่สารพันธุกรรมที่ได้จากเซลล์ตัวอ่อนเพียง 3 – 5 เซลล์นั้นไม่เพียงพอ จึงต้องเพิ่มจำนวนสารพันธุกรรมก่อนจะเข้ากระบวนการ NGS

3. นำไปตรวจด้วยเทคนิค NGS

การตรวจด้วยเทคนิค NGS จะทำโดยแยก DNA หรือ RNA ออกจากกันจนเป็นเบสสายสั้นๆ และเข้ากระบวนการให้สารพันธุกรรมกลับมาต่อกันจนกลายเป็นจีโนม (Genome) หรือ DNA ที่เป็นรูปเกลียว จากนั้นผู้เชี่ยวชาญจะนำข้อมูลของจีโนมไปวิเคราะห์ต่อว่ามีความผิดปกติหรือไม่

ที่คลินิกรักษาผู้มีบุตรยากSmile IVF Clinic เราให้บริการตรวจด้วยเทคนิคใหม่ล่าสุดอย่าง NGS ซึ่งมีจุดประสงค์หลักเพื่อลดความเสี่ยงการแท้ง ก่อนย้ายตัวอ่อนใส่กลับเข้าไป กรณีทำ IVF หรือ ICSI ช่วยให้เกิดผลสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก และหลีกเลี่ยงผลกระทบทางจิตใจในกรณีที่แท้งบุตรอีกด้วย

นอกจากนี้ การตรวจโครโมโซมของตัวอ่อนยังมีประโยชน์ในรายที่คุณหรือคู่สมรสมีความผิดปกติของสารพันธุกรรมหรือเป็นพาหะของโรคต่างๆ อย่างเช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคธาลัสซีเมีย หรือโรคมะเร็งเต้านมที่มียีนกลายพันธุ์ที่ผิดปกติ ถ้าคนในครอบครัวหรือว่าคู่สมรสของคุณมีปัญหาดังต่อไปนี้ ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะมีบุตรยาก เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป